เครื่องชงกาแฟสดอัตโนมัติ2 หัว ควรเลือกแบบไหนดี?
เครื่องชงกาแฟ 2 หัวตัวช่วยให้การเตรียมทำกาแฟของคุณเป็นเรื่องง่าย เครื่องชงกาแฟส่วนใหญ่จะสามารถปรับความเข้มข้น ความหยาบของเมล็ด และอุณหภูมิของน้ำกาแฟได้ จึงเหมาะสำหรับคนดื่มกาแฟทุกวัน หรือแม้แต่ผู้ประกอบการที่ต้องการทำธุรกิจร้านกาแฟ ก็สามารถเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟไว้สำหรับเปิดร้านเพื่อรองรับลูกค้า
ก่อนอื่นเลยเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เครื่องชงกาแฟ 2 หัว คืออะไร?
เครื่องชงกาแฟที่มีหัวชง 2 หัว คือ เครื่องที่สามารถชงกาแฟต่อครั้งได้มากกว่า 1 หัวชง ภายในระยะเวลาเท่ากันซึ่งสามารถทำพร้อมกันได้ทั้ง 2 หัวชง ทำให้ระยะเวลาในการทำกาแฟในจำนวนมากได้เร็วขึ้น ทั้งนี้อุปกรณ์ภายในเครื่องยังมีการแยกระหว่าง Coffee Boiler และ Steam Boiler พร้อมกับสามารถตั้งค่าอุณหภูมิความร้อนให้แตกต่างกันได้
โดยแต่ละหัวสามารถทำงานพร้อมกันคนละรูปแบบการชงได้ โดยหน้าที่ของ Coffee Boiler จะใช้สำหรับชงกาแฟ ส่วน Steam Boiler ทำหน้าที่ทำน้ำร้อนและโฟมนม การทำความร้อนของหม้อต้มน้ำที่แยกกันอย่างอิสระ จึงทำให้อุณหภูมิของน้ำร้อนจะมีความเสถียรและคงที่ แม้จะงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาก็ตาม
ทำให้ร้านกาแฟหลาย ๆ ร้านจึงนิยมใช้เครื่องชงกาแฟ 2 หัวเนื่องจากเป็นการตอบโจทย์การทำงานที่ครบขั้นและเพื่อความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า
ลักษณะการทำงานที่ใกล้เคียงกันของเครื่องชงกาแฟ 2 หัว จึงทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟ 2 หัวกลายเป็นความยากและลำบากใจในการเลือกซื้อ เราจึงได้รวบรวมวิธีการเลือกเครื่องชงกาแฟ 2 หัวในรูปแบบต่าง ๆ มาให้เพื่อเป็นการศึกษาหาข้อมูลก่อนทำการตัดสินใจ
วิธีการเลือกเครื่องชงกาแฟ 2 หัวควรเลือกจากอะไรดี?
ต้องเริ่มจากการเลือก Boiler หรือหม้อต้ม
หม้อต้ม หรือ Boiler ของเครื่องชงกาแฟเป็นส่วนที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นส่วนประกอบหลักในระบบทำความร้อนของเครื่องชงกาแฟมีหน้าที่ต้มน้ำร้อนสำหรับชงกาแฟ ซึ่งเครื่องชงกาแฟที่ดีนั้นจะให้คุณสามารถควบคุมอุณหภูมิน้ำที่ต้มและเครื่องชงกาแฟแต่ละเครื่องจะมีระบบควบคุมความร้อนของน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
การเลือก Boiler คือ การเลือกความจุของ Boiler ซึ่ง Boiler แต่ละขนาดมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป มีให้บริการตั้ง Boilerขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่ ดังนี้
– Boiler ขนาดเล็ก มีขนาดอยู่ที่ 300 cc เหมาะสำหรับการชงกาแฟที่เป็นร้านกาแฟขนาดเล็กที่มีการชงกาแฟครั้งละ1-3 แก้ว หรือมีช่วงระยะห่างแต่ละรอบประมาณ 3 – 5 นาที
– Boiler ขนาดกลาง มีขนาดประมาณความจุไม่เกิน 2 ลิตร เหมาะสำหรับการชงกาแฟที่เป็นร้านกาแฟขนาดกลาง ซึ่งเหมาะสำหรับร้านกาแฟที่มีชงกาแฟเพื่อบริการลูกค้า ครั้งละ 3 – 5 คน และมีระยะห่างของระยะเวลาในการให้บริการพอประมาณ
– Boiler ขนาดใหญ่ มีความจุตั้งแต่ 6.5 ลิตร ขึ้นไป เหมาะสำหรับร้านกาแฟขนาดใหญ่ที่มีการให้บริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ทำการชงกาแฟได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ขนาดของ Boiler ยังมีผลกับงบประมาณอีกด้วย ถ้าหากมีจำนวน Boiler หลายตัวราคาอาจสูงถึง 90,000 – 200,000 บาท สำหรับใครที่อยากวางแผนเปิดร้านนาน ๆ ควรลงทุนครั้งเดียวกับเครื่องกาแฟดี ๆ เพราะสามารถรองรับยอดขายที่สูงนั้นจะช่วยให้ประหยัดเงินทุนไปได้มาก
ความครบถ้วนของคุณสมบัติเครื่องชงกาแฟ 2 หัวควรมีอะไรบ้าง?
คุณสมบัติเครื่องชงกาแฟ 2 หัวมีส่วนประกอบหลักอยู่ 4 อย่าง เพื่อทำหน้าที่ในการชงกาแฟ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. Coffee Boiler
COFFEE BOILER คือ หม้อต้มน้ำที่ทำหน้าที่ทำความร้อนสำหรับใช้สกัดกาแฟทำหน้าที่ชงกาแฟและสามารถตั้งค่าอุณหภูมิได้อย่างอิสระตามประเภทของกาแฟที่ชง
2. Steam Boiler
STEAM BOILER คือ หม้อต้มน้ำที่ทำความร้อนสำหรับใช้ทำโฟมนม และน้ำร้อน ทำหน้าที่ต้มน้ำและสตรีมนม ให้ตรวจสอบดูว่ามีแรงดันน้ำออกมาทุกช่องและแรงสม่ำเสมอ ไม่มีการรั่วซึมออกมา
3. Pump
ปั๊มน้ำในเครื่องชงกาแฟ ทำหน้าที่จ่ายน้ำเข้าหม้อต้มและสร้างแรงดันสำหรับการสกัดกาแฟ โดยปั๊มน้ำที่นิยมมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
- ปั๊มแบบสั่น
ใช้ลูกสูบและพลังงานแม่เหล็กในการดึงลูกสูบเดินหน้าถอยหลังทำให้เกิดแรงดัน มีข้อดีคือขนาดเล็ก ใช้พื้นที่น้อยและราคาถูก ข้อเสียคือแต่มีการเคลื่อนที่เข้าออก ทำให้แรงดันไม่เสถียร
- ปั๊มแบบโรตารี่
ทำงานด้วยระบบมอเตอร์ ข้อดีคือมีความเสถียร ข้อเสียคือ ขนาดใหญ่ตลอดจนราคาสูงกว่าแบบสั่น มักใช้ในเครื่องระดับ Commercial
4. จอแสดงผล
สำหรับปรับตั้งค่าและแสดงค่าที่ตั้งไว้ สามารถตั้งเป็นเวลา กำหนดอุณหภูมิ และปริมาณในการสกัดน้ำกาแฟได้
เครื่องชงกาแฟ 2 หัวจะมีราคาแพงหรือถูก อยู่ที่การเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการผลิต การประกอบการเลือกใช้วัสดุต่าง ๆ แล้ว ทั้งวัสดุห่อหุ้ม ข้อต่อ หรือ Boiler ไปจนถึงความหนาบางและลักษณะภายนอกของเครื่องชงกาแฟ
ซึ่งราคาของเครื่องนั้นจะเกี่ยวข้องกับความทนทานเสียมากกว่า ส่วนเครื่องระดับ Hi-End ที่ราคาสูงไม่ได้มีดีแค่เรื่องรสชาติเพียงอย่างเดียว แต่จะมีเรื่องของการออกแบบและวัสดุที่ดีเป็นผลให้ราคาสูงขึ้นด้วย